Search results for

SMEยุทธวิธีเศรษฐีใหม่ – 4 ปัจจัยต่างชาติ Wowไทย

ไทยเปิดประเทศพร้อมกับเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนทำธุรกิจกับคนไทย โดยเฉพาะกับ “สตาร์ทอัพสัญชาติไทย” ที่ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้มีอยู่จำนวนไม่ใช่น้อยที่เป็น เอสเอ็มอี” ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจังเพื่อเป็นอีกหนึ่งกลไกที่สำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ ส่วนปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ประเทศไทยเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ สำหรับเรื่องนี้วันนี้คอลัมน์นี้มีข้อมูลนำมาฝากกัน…คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ทั้งนี้ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ได้เปิดเผยผลสำรวจถึง “ปัจจัยที่ดึงดูดใจของไทย” ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติสนใจอยากที่จะเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยว่า ประกอบไปด้วย 4 ข้อสำคัญ ดังนี้ 1.อยู่สบายและมีต้นทุนธุรกิจไม่สูง เช่น พื้นที่สำนักงานทำเลดี ๆ ในกรุงเทพฯ ยังมีราคาไม่สูงมากเมื่อเทียบกับเมืองชั้นนำอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ อาทิ คิดเป็น 50% ของสำนักงานในเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ หรือมีค่าใช้จ่ายราว 40% ของสำนักงานในสิงคโปร์ ในขณะที่ค่าแรงในไทยยังจัดอยู่ในเกณฑ์ที่สมเหตุสมผลกับแรงงานทักษะสูงและอัตราเงินเฟ้อ รวมไปถึงประเทศไทยมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอาเซียน โดยมีฐานผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อรวมกว่า 246.11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย 2.ไทยมีความสามารถด้านห่วงโซ่ ทั้งห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่มูลค่าระดับโลก โดยไทยเป็นประเทศที่ร่ำรวยด้วยผลผลิตทางภาคการเกษตรติดอันดับ 1 ใน 3 ของอาเซียน อีกทั้งเป็นผู้ส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรรายใหญ่ที่สุดของโลก เช่น ข้าวและยางธรรมชาติ นอกจากนั้น ประเทศไทยยังมีบริษัทอาหารทะเลชั้นนำของโลก ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันในตลาดโลกให้กับธุรกิจต่าง ๆ ได้อย่างดี 3.เอกชนไทยมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาสูง โดยผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก (GII) ไทยมีสัดส่วนการลงทุนเรื่องนี้เป็นอันดับ 1 ติดต่อกันถึงสองปีซ้อน (2563-2564) สะท้อนว่าภาคเอกชนขนาดใหญ่ของไทยมีศักยภาพและความพร้อมเป็นอย่างมาก ที่ภาคธุรกิจต่าง ๆ จากต่างประเทศสามารถเข้ามาลงทุนเพื่อมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจได้เป็นอย่างดี และสุดท้าย 4.ไทยมีการสนับสนุนส่งเสริมระบบนิเวศสตาร์ทอัพต่อเนื่อง ที่ถือเป็นอีกหปัจจัยทำให้นักลงทุนต่างชาติสนใจอยากลงทุนกับประเทศไทย และนี่เป็น “4 ปัจจัยสำคัญ” ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติสนใจอยากมาลงทุน ซึ่งข้อมูลนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับ “เอสเอ็มอีไทย” ได้ไม่มากก็น้อย.ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ [email protected]คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

วาระแห่งชาติ ‘ปัญหาหนี้นอกระบบ’ แก้อย่างไรก็ไม่มีวันจบ

ปัญหาของหนี้นอกระบบ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานาน และยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและเกิดผล ไม่ว่าจะกี่รัฐบาลพยายามเข้าแก้ไขปัญหาระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ แต่สุดท้ายก็ยังคว้าน้ำเหลว ไม่อาจทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นหมดไปได้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาหนี้ได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นการเพิ่มรายได้ แต่จะทำอย่างไร คงเป็นโจทย์ให้รัฐบาลเศรษฐาต่อไป

ทางด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ “นายปิติ ดิษยทัต” ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและหนี้ในระบบ และยกให้แก้หนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาตินั้น

ในส่วนของ ธปท. การแก้ไขปัญหาหนี้ภาพรวมช่วงที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนความเห็นและหารือกับกระทรวงการคลังเป็นปกติ ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาหนี้ต่างๆ ขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐในระยะข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร และว่าอะไรเหมาะสมที่สุด แต่ในเรื่องนี้ ธปท. จะมีส่วนช่วยกับนโยบายหลังจากที่มาตรการได้ออกมาแล้วคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ขณะที่ “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ระบุว่า ในการแถลงข่าวแนวทางการแก้หนี้นอกระบบ เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2566 รัฐบาลได้มีการประกาศให้ “การแก้ไขหนี้นอกระบบ” เป็นวาระชาติ โดยมีการประเมินว่า หนี้นอกระบบของไทยอาจมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งในการแก้หนี้นอกระบบนั้น ภาครัฐจะมีการปรับกระบวนการทำงานของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำฐานข้อมูลกลางและระบบที่สามารถติดตามผลได้ รวมถึงจะมีการใช้โครงการสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเข้ามาเสริมสภาพคล่องให้กับลูกหนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นภาพสะท้อนของปมปัญหาที่ซับซ้อนทางด้านสังคม คุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของภาคครัวเรือน เพราะโดยทั่วไป ลูกหนี้ที่มีการกู้ยืมจากแหล่งเงินนอกระบบนั้น มักจะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า 15% ที่กฎหมายกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 และอาจต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงจากการทวงหนี้ของเจ้าหนี้

ดังนั้น หากมองจากมุมของลูกหนี้แล้ว การกู้ยืมนอกระบบน่าจะเป็นทางเลือกสุดท้ายในการหมุนสภาพคล่อง หลังจากที่ลูกหนี้ได้พยายามใช้วิธีอื่นๆ มาแล้ว

เป้าหมายสำคัญของการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ คือ การทำให้หนี้นอกระบบกลับเข้ามาอยู่ในระบบ ซึ่งเมื่อสามารถช่วยประชาชนกลุ่มที่พึ่งพาหนี้นอกระบบ ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ดีขึ้นแล้ว ผลได้ที่ชัดเจนที่สุดที่ลูกหนี้จะได้รับ ก็น่าจะเป็น ภาระดอกเบี้ยที่ลดลง ซึ่งก็จะทำให้ครัวเรือนปลดภาระหนี้ก้อนนั้นได้เร็วขึ้น

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปทบทวน “มาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน” ของ ธปท. ที่มีการเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ ก็ได้มีการเตรียมหลักเกณฑ์เพื่อดูแลและช่วยในเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มลูกหนี้นอกระบบด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ Risk-based pricing (RBP) สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่จะเริ่มเปิดรับผู้สมัครเข้าร่วมทดสอบใน Sandbox ในช่วงไตรมาสที่ 2/2567

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การใช้หลักเกณฑ์ RBP สำหรับสินเชื่อทั้ง 2 ประเภท จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ปล่อยกู้ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามความเสี่ยงของลูกหนี้ ซึ่งหากในอนาคตมีผู้ประกอบการที่ผ่านเกณฑ์การทดสอบออกจาก Sandbox ได้มากขึ้น ก็น่าจะช่วยเสริมโอกาสให้ลูกหนี้นอกระบบสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ ประเด็นสำคัญของแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของภาครัฐ จะอยู่ที่กระบวนการตรวจสอบและยืนยันสถานะของทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ รวมไปถึงการจูงใจให้เจ้าหนี้มาร่วมแก้ปัญหาให้กับลูกหนี้ โดยหากการติดตามเจ้าหนี้มีความล่าช้า ก็อาจต้องมีการพิจารณาต่อว่าจะดำเนินการเพิ่มเติมอย่างไร โดยเฉพาะในประเด็นการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อนำไปปิดหนี้นอกระบบ แต่หากกระบวนการสามารถเดินหน้าต่อได้ ก็จะทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนในระบบปรับเพิ่มขึ้นตามยอดการปล่อยสินเชื่อในส่วนดังกล่าว

การแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือนให้ได้อย่างยั่งยืน คงต้องย้อนกลับไปดูแลปัญหาที่ต้นตอในระดับครัวเรือน โดยเฉพาะในด้านรายได้ ความรู้และวินัยทางการเงิน รวมถึงคงต้องดำเนินการเพิ่มเติมในอีกหลายๆ ส่วน โดยเฉพาะหนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระบบ

“แต่อย่าลืมว่าบางปัญหาของหนี้นอกระบบ อาจไม่ได้อยู่ที่เจ้าหนี้เสมอไป ถ้ามองอีกมุมลูกหนี้ ก็ยากที่จะอยากเข้ามาแก้ ถึงแม้จะมีสินเชื่อในระบบจากธนาคารเพื่อนำไปปิดหนี้นอกระบบ แต่สุดท้ายลูกหนี้ก็วนกลับไปหาหนี้นอกระบบด้วยอยู่ดี และคงกลับไปทำแบบเดิมซ้ำๆ ถ้าทุกวันนี้กระบวนการขอสินเชื่อจากธนาคารยังคงยุ่งยาก เอกสารเยอะ ไม่สามารถเคาะประตูบ้านเพื่อขอยืมเงินได้ในทันที ก็ต้องบอกว่าหนี้ในระบบก็ยังแพ้หนี้นอกระบบอยู่ดี!”คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

(ที่มาข้อมูล : ธปท., ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)

ปิดจ๊อบสร้างถนนสาย ข9, ค3 ผังเมืองรวมชุมชนโคกกลอย-ท้ายเหมือง

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) แจ้งว่า ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสาย ข9,ค3ผังเมืองรวมชุมชนโคกกลอย-ท้ายเหมือง จ.พังงา ระยะทาง4.229กิโลเมตร(กม.)งบประมาณ282.821ล้านบาท เสร็จสมบูรณ์ และเปิดให้ประชาชนสัญจรเรียบร้อยคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

โครงการก่อสร้างถนนสาย ข9,ค3ผังเมืองรวมชุมชนโคกกลอย-ท้ายเหมือง จ.พังงา (ถนนทางหลวงชนบทสาย พง.1042หรือ ถนนนากลาง-อ่าวจิก) โดยได้ก่อสร้างเป็นแนวถนนก่อสร้างใหม่ แบ่งออกเป็น2ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 จุดเริ่มต้นโครงการ (สาย ค3 กม.ที่ 0+000 ถึง กม.ที่ 1+998.119) โดยเชื่อมต่อกับถนน ทล.4303 (บริเวณ กม.ที่ 2+512.893) ไปบรรจบกับถนน ทล.402 

ช่วงที่2จุดเริ่มต้นโครงการ (สาย ข9กม.ที่1+998.119ถึง กม.ที่4+228.995)ต่อเนื่องกับช่วงที่1สาย ค3โดยเชื่อมต่อกับถนน ทล.402 (บริเวณ กม.ที่2+050)ไปสิ้นสุดช่วงที่2บนสาย ข9บรรจบกับทางหลวงชนบทสาย พง.3006คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ลักษณะการก่อสร้างถนนเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาด 4 ช่องจราจร ไป-กลับ กว้างช่องละ 3.5 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.5 เมตร ทางเท้ากว้างข้างละ 3.5 เมตร พร้อมก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 แห่ง งานก่อสร้างท่อลอดเหลี่ยมคอนกรีตเสริมเหล็ก 6 แห่ง งานก่อสร้างระบบระบายน้ำ งานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง ป้ายจราจร และเครื่องหมายจราจร

นอกจากนี้ถนนสายดังกล่าวยังเป็นเส้นทางที่สามารถเชื่อมไปยัง จ.ภูเก็ต ได้อีกทางหนึ่ง รวมถึงสนับสนุนการเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังใน จ.พังงา อาทิ หาดนาใต้ (สะพานนาใต้) และหาดเขาปิหลาย ซึ่งในทุก ๆ ปี จะมีนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีแนวโน้มการขยายตัวของเมืองอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

ค่าเงินบาทอ่อนค่า 34.58 บาท จับตาใกล้ชิดการเมืองไทย มาตรการกระตุ้นศก.จีน

วันที่ 25 ก.ค. นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.58 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.43 บาทต่อดอลลาร์ โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.40-34.70 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 34.37-34.56 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โดยราคาทองคำปรับตัวลดลงตามการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากรายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการฝั่งสหรัฐ ที่ออกมาดีกว่ารายงานดัชนี PMI ของฝั่งยุโรป และภาพรวมตลาดการเงินสหรัฐ ที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น 

ตลาดหุ้นสหรัฐ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยดัชนี S&P500 สามารถปิดตลาด +0.40% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นกลุ่มการเงินที่ได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ Chevron +2.0% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ (Tesla +3.5%, Alphabet +1.3%) หลังการรีบาลานซ์ดัชนี Nasdaq 100 ไม่ได้ส่งผลให้เกิดแรงขายหุ้นเทคฯ ใหญ่อย่างที่ตลาดกังวล  

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นเพียง +0.06% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะได้แรงหนุนจากการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด แต่รายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ลดลงต่อเนื่องและแย่กว่าคาด รวมถึงความไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของสเปนหลังการเลือกตั้ง ได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก

ในฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินฝั่งสหรัฐ รวมถึงรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ไม่ได้ออกมาเลวร้ายนัก ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใกล้ระดับ 3.90% อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 3.80%-3.88% ในช่วงคืนก่อนหน้า)

อนึ่ง เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวดังกล่าว ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่น่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะ หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 4.00% อีกครั้ง ซึ่งเป็นระดับที่เรามองว่า downside risk จำกัดพอสมควรแล้ว

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยรายงานข้อมูลดัชนี PMI ฝั่งสหรัฐ ที่โดยรวม ดูดีกว่ารายงานดัชนี PMI ฝั่งยุโรป ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 101.4 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 101-101.5 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา)

ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ย่อตัวลงสู่ระดับ 1,956 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจรอจังหวะราคาทองคำย่อตัวลงในการเข้าซื้อเก็งกำไรระยะสั้น และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้บ้าง

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board (Consumer Confidence) ซึ่งอาจปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า หลังอัตราเงินเฟ้อชะลอลงต่อเนื่อง ส่วนตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งอยู่ คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดจะรอลุ้นรายงานรายงานภาวะสินเชื่อ (Bank Lending Survey) ในไตรมาส 2 ซึ่งเรามองว่า รายงานดังกล่าว จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่บรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ใช้พิจารณาถึงความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังจากที่ ECB อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย +25bps ในการประชุมวันพฤหัสฯ นี้ คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะรายงานจากบริษัทเทคฯ ใหญ่ อาทิ Microsoft, Alphabet เป็นต้น ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินช่วงนี้ได้ ส่วนในฝั่งไทย เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดควรติดตามสถานการณ์การเมืองไทย หลังล่าสุดนักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยขายทำกำไรการลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น

ขณะที่ แนวโน้มของค่าเงินบาท คงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นกลับมา หลังจากที่เราได้ Call จุดกลับตัวของเงินบาท (มอง bottom ระยะสั้นที่ 33.75 บาทต่อดอลลาร์) เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยปัจจัยที่กลับมากดดันค่าเงินบาทนั้น มีทั้งการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์, โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว และแรงขายสินทรัพย์ไทยจากความกังวลสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งหากปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่ายังไม่เปลี่ยนแปลง เงินบาทก็มีโอกาสอ่อนค่าต่อ ทดสอบโซนแนวต้าน 34.75 บาทต่อดอลลาร์ ได้

อย่างไรก็ดี มองว่า ผู้เล่นต่างชาติบางส่วนที่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มค่าเงินบาท (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) อาจรอจังหวะการอ่อนค่าของเงินบาทในการเพิ่มสถานะ Long THB ได้ เช่นเดียวกันกับ ฝั่งผู้ส่งออกที่ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง ทำให้ประเมินว่า หากสถานการณ์การเมืองในประเทศไม่ได้ถึงขั้นวิกฤติ จนทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายสินทรัพย์ไทยอีกรอบ ค่าเงินบาทก็อาจไม่ได้อ่อนค่าต่อเนื่องรุนแรง 

ทั้งนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องจับตาใกล้ชิดในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม คือ แนวโน้มเงินหยวนของจีน (CNY) ซึ่งจะขึ้นกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยจะต้องรอจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยขนาดไหน หลังการประชุม Politburo

ภูมิธรรม จับมือค้าปลีกฮ่องกง ช่วยคนตัวเล็กขายของขึ้นห้าง 250 รายการ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้เป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู)ระหว่างห้างสรรพสินค้า บิ๊กซี ฮ่องกง และผู้ส่งออกไทย 10 บริษัท เพื่อขยายโอกาสการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคสู่ตลาดฮ่องกง โดยเฉพาะการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย เอสเอ็มอี สินค้าโอทอป และสินค้าเกษตรแปรรูป รวมทั้งสินค้าที่ได้รับตราสัญลักษณ์ ไทยแลนด์ ทรัสต์ มาร์ก และไทย ซีเล็คท์ บนผลิตภัณฑ์ ไปขายในต่างแดน

“สินค้าไทยที่นำมาจัดการส่งเสริมการขายจำนวนมาก อาทิ ผลไม้ ข้าว สินค้าอุปโภคบริโภค ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากชาวฮ่องกงเป็นอย่างดี ที่เข้ามาชมและเลือกซื้อสินค้า และได้เยี่ยมชมการจำหน่ายสินค้าไทยในห้าง พบว่า มีสินค้าไทยจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายแล้ว 4,200 รายการ และหากรวมการลงนาม เอ็มโอยูในครั้งนี้ จะมีสินค้าไทยเพิ่มเข้าไปอีก 250 รายการ”คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

นอกจากนี้ ได้หารือกับนายแอลเจอร์นอน เยา รมว.พาณิชย์และการพัฒนาเศรษฐกิจฮ่องกง ถึงแนวทางการส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย แลกเปลี่ยนข้อมูลสินค้าและบริการ ในการเปิดตลาดฮ่องกง และเชิญชวนผู้ประกอบการฮ่องกงที่มีศักยภาพในการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียน โดยใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุน ขณะที่การร่วมงานฮ่องกง อินเตอร์เนชันแรล ฟิล์ม แอนด์ ทีวี มาร์เก็ต ซึ่งเป็นงานซื้อขายภาพยนตร์ใหญ่ที่สุดของเอเชีย กระทรวงพาณิชย์ได้นำผู้ประกอบการเข้าร่วม 27 บริษัท เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์และแอนิเมชัน 9 บริษัท รายการและละครโทรทัศน์ 10 บริษัท บริการเกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์และวีดิทัศน์ 8 บริษัท ซึ่งคาดว่าจะเกิดการซื้อขาย ร่วมมือกันระหว่างกันจำนวนมากคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ยังได้หารือถึงการยกระดับความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง ที่จะมีการลงนามเอ็มโอยู เพื่อสร้างความร่วมมือใน 3 ด้าน ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้า การสนับสนุนกิจกรรมการค้าความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเอสเอ็มอี และความร่วมมืออีคอมเมิร์ซ ตลอดจนขอความร่วมมือฮ่องกง ในการสนับสนุนและจัดการซอฟท์ พาวเวอร์ของไทยให้มากขึ้น ทั้งอาหาร ผลไม้ ข้าวหอมมะลิไทย และธุรกิจบริการไทย เช่น โรงพยาบาล โรงแรม ให้ผู้บริโภคชาวฮ่องกงได้รับทราบ